จากกรณีดราม่าแนนโน๊ะ สู่มุมเชิงสังคมวิทยาว่าด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์
ผมเลือกเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาจากประเด็นดราม่าเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ กรณีที่มีเพจหลายเพจทำการไลฟ์สดให้ดูซีรีส์เรื่อง เด็กใหม่ (Girl from Nowhere) ซีซั่น 2 ทาง Facebook แบบฟรีๆ และแน่นอนว่าต้องมีคนไม่เห็นด้วย โดยแสดงออกผ่านการก่นด่าไปยังผู้เผยแพร่ และผู้ที่เข้าไปรับชมครับ
โดยผมขออธิปรายประเด็นนี้เงียบๆ ไม่ได้เห็นด้วย หรือสนับสนุนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญหาของคนอื่นนะครับ ถูกผิดสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย ผมไม่ได้ต้องการแทรกแซงหรือสร้างความชอบธรรมให้ใคร เพียงแต่ต้องการแสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่าทรัพย์สินทางปัญญา มันเป็นประเด็นที่ถูกมองผ่านเลนส์สังคมวิทยาได้ด้วย และมันมีผลกระทบต่อสังคมเราด้วยครับ
ปัจจุบันนี้ทรัพย์สินทางปัญญาที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Intellectual Property) จำพวก เพลง ซีรีส์ ภาพยนต์ และอื่นๆ มีมูลค่ามหาศาล อย่างในสหรัฐอเมริกาทรัพย์สินทางปัญญาแบกรับหน้าที่ในการทำให้ GDP เติมโตขึ้นถึง 38.2% เลยครับ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจใช่ไหมครับ ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์จะหวงและพยายามหนักมากในการปกป้องไม่ให้มีการละเมิด ของของมันทำเงินซะขนาดนี้ เป็นผมก็คงไม่ยอมให้ใครมาแย่งไปง่ายๆ
หลายคนให้คำอธิบายว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะบริโภคคอนเทนต์แบบถูกกฎหมายมากกว่า ถ้ามันเข้าถึงได้ง่ายและไม่แพงเกินไป (1,2) แต่ผมว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผลนะครับ ให้ลองนึกถึงสมัยที่เรายังไม่มีแอปสตรีมมิ่งให้ใช้กันแบบทุกวันนี้ ตอนนั้นคนแห่กันไปใช้ของผิดลิขสิทธิ์ เช่นโหลดไฟล์ผ่าน Limewire (แก่จัง ฮ่าๆๆ), 4shared หรือบางคนอาจใช้บริการแปลงไฟล์จากวีดีโอที่ให้ดูฟรีบนเว็บเก็บไว้เป็น .Mp3 ไว้ฟังในฐานะเพลงไปเลยก็มี ผมจำได้ว่า youtube2mp3 บูมมากๆ เลยตอนนั้น
แต่พอเพลงเหล่านั้นถูกทำให้เข้าถึงง่ายและสะดวกขึ้นมา แม้นจะต้องแลกด้วยการจ่ายเงินอย่าง iTune, Apple Muisc หรือฟรีเมี่ยมที่ฟรีแต่แลกมาด้วยเงื่อนไขอย่าง เช่น โฆษณา อย่าง Joox, Spotify ช่องทางละเมิดกฎหมายที่ผมกล่าวถึงไปก่อนหน้าก็ล้มหายตายจาก ผมขอเช็คหน่อยครับว่าตอนนี้ใครยังใช้ 4shared สำหรับดาวน์โหลดไฟล์เพลงผิดลิขสิทธิ์อยู่บ้าง ผมคิดว่าไม่น่าจะมีแล้วนะ เห็นไหมครับว่าเหล่าคนเลวที่ละเมิดลิขสิทธิ์ก่อนหน้า ไม่ได้เลวขนาดที่จ้องจะละเมิดกฎหมายตลอดเวลา ถ้าสิ่งที่เขาต้องการเข้าถึงได้ง่ายและในราคาที่เขาจ่ายไหว
อีกเคสหนึ่งคือช่วงต้นปี 2000 สมัยนั้นการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนต์ผ่านระบบ peer-to-peer file sharing (P2P) : BitTorrent สูงมากๆ แต่ภายหลังการมาของ Netflix ก็ส่งผลโดยตรง ทำให้อัตราการใช้ BitTorrent ลดลง ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้วอินเตอเน็ตก็เร็วขึ้น โหลดบิตก็เร็วขึ้นไปด้วย เว็บไซต์อย่าง The Pirate Bay ก็ยังมีให้ใช้อยู่ แต่คนมันไม่ใช้เพราะหันไปใช้ Netflix คนดันไปเลือกช่องทางที่ถูกกฎหมายและต้องจ่ายเงิน โครตเจ๋งเลย ขอพูดซ้ำอีกครั้ง ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เลวขนาดที่จ้องจะละเมิดกฎหมายตลอดเวลา ถ้าสิ่งที่เขาต้องการเข้าถึงได้ง่ายและในราคาที่เขาจ่ายไหว
กลับกันในปัจจุบันนี้ ที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาเยอะมากเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะ Hulu, Amazon Prime, HBO Go, CBS All Access หรือ Disney Plus อีก สิ่งเหล่านี้ 'เข้าถึงง่าย' ก็จริงครับ แต่คนเริ่ม 'จ่ายไม่ได้' แล้ว อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านการ Torrenting ก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลักฐานพวกนี้มันช่วยให้เห็นได้ว่าการละเมิดลิขสิทธิ์มันไม่ได้อยู่ที่จริยธรรมส่วนบุคคลอย่างเดียว แต่ปัจจัยทางการตลาดและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจก็มีผลร่วมด้วยครับผม
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนอาจมีข้อโต้แย้งว่า 'เอ้ย ถ้าเกิดคนมันมีจริยธรรมจริงๆ มันก็ไม่ทำหรือเปล่า ไม่มีปัญญาจ่ายก็อย่าไปดูสิ' ที่ผมพอเห็นผ่านตาคือการเทียบการละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญากับทรัพย์สินที่จับต้องได้ เช่น เทียบภาพยนต์กับรถยนต์ หากไม่มีเงินซื้อรถยนต์ควรทำอย่างไร ระหว่าง 1.ขโมยรถ หรือ 2.เลือกเดินทางโดยวิธีอื่น โดยเปรียบว่าการละเมิดลิขสิทธ์ก็เหมือนเลือกที่จะขโมยรถ แน่นอนว่าถูกต้องในแง่ที่ว่ามันผิดกฎหมายเหมือนกันครับ
แต่จริงๆ แล้ว มันเทียบกันไม่ง่ายแบบนั้น เพราะว่าคอนเทนต์อย่างเพลง หรือหนังดังๆ พวกนี้ มันไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ความบรรเทิง แต่มันยังทำงานในฐานะวัฒนธรรมด้วยครับ กล่าวคือ มันทำให้คนที่เสพกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วยครับ ผมอยากให้คุณลองจิตนาการว่าคุณอาศัยในชุมชนเล็กๆ ชนบท แต่คุณไม่เคยไปร่วมงานศพของคนในหมู่บ้านเลย คุณไม่ตายหรอกครับ แต่คุณจะแปลกแยกจากชุมชนนั้นๆ
ผมอาจยกตัวอย่างเว่อร์ไปเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่หลักการคือแบบเดียวกันเลยครับ หนัง/ซีรีส์ดังๆ มันทำงานคล้ายวัฒนธรรมของสังคม มันอาจไม่ชัดเจนเท่าพิธีงานศพ แต่มันมีลักษณะของวัฒนธรรมอยู่จริงๆนะ ครับ เช่น หากคุณอยู่ในแก๊งกะเทย แล้วคุณไม่เคยดูภาพยนต์เรื่องหอแต๋วแตก คงจะแปลกน่าดูถ้ามีเพื่อนกะเทยมาตะโกนใส่คุณว่า "หล่อนมีพิรุธอีกแล้วนะ" หรือ "ที่เจ๊ไล่หนูออกจากบ้าน..."
อย่างหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Harry Potter หรือ Star War ถ้าคุณไม่เคยดู คุณจะถูกตัดขาดจากสังคมมีมในโลกออนไลน์ไปเยอะเลยนะครับ หรืออย่างซีรีส์เด็กใหม่ที่เป็นประเด็น ตอนซีซั่น 1 ดังมากๆ เลยนะครับ มีเพจทำมีมแนนโน๊ะร่ายรำหน้าเสาธงออกมาเต็มไปหมด ซีซั่น 2 เลยไม่แปลกใจถ้ามีคนจำนวนมากรอติดตาม
ถ้าคุณไม่ดูคุณจะเก็ทสิ่งที่หลายๆ เพจสร้างคอนเทนต์ออกมาในช่วงเวลานั้น คุณจะรู้สึกแปลกแยกจากคอมเม้นต์ งงๆ ว่าเขาขำอะไรกันนะ ซึ่งภาวะกลายเป็นชายขอบแบบนี้ไม่ใช่สภาวะที่มนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมชอบเลยครับ อย่างไรแล้วผมไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นจนสามารถใช้เป็นข้ออ้างที่ชอบธรรมในการละเมิดลิขสิทธิ์นะครับ แต่ผมยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่าสื่อพวกนี้ มันมีอิทธิพลต่อคนในสังคมขนาดไหน มันทำให้เราคุยกับคนอื่นได้ มันไปไกลกว่าแค่ความบรรเทิงส่วนบุคคลจริงๆ นะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนถึงพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าถึงมัน แม้จะต้องละเมิดกฎหมายก็ตาม
ภาพลวงตาอย่างหนึ่งของการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ คือ เจ้าของลิขสิทธิ์ชอบสร้างเหตุการณ์ทวิภาคสุดโต่งที่ไม่มีจริงขึ้นมา (ใช้คำเท่จัง ฮ่าๆ) อธิบายง่ายๆ คือเจ้าของลิขสิทธิ์ชอบคิดว่าถ้าคนไม่เข้าถึงเนื้อหาแบบถูกลิขสิทธิ์ คนก็ต้องไปใช้วิธีผิดลิขสิทธิ์นั่นแหละ หรือไม่ขาวก็ดำทึบไปเลย
ในปี 2010 RIAA (Recording Industry Association of America) ได้ยื่นฟ้อง Limewire โปรแกรมแบ่งปันไฟล์ออนไลน์ผ่านระบบ P2P (คล้ายๆ BitTorrent ด้านบนครับ) โดย RIAA กล่าวว่าทุกครั้งที่คนดาวน์โหลดแบบผิดกฎหมายบน Limewire 1 ครั้ง เท่ากับว่าเจ้าของลิขสิทธิ์จะสูญเสียโอกาสในการทำราย/ขายคอนเทนต์ไป 1 ชิ้นเช่นเดียวกัน
ซึ่งเมื่อนำจำนวนครั้งที่โหลดแบบผิดกฎหมายไปคูณกับจำนวนความเสียหาย 1 หน่วยแล้ว ผลออกมาว่า Limewire ต้องชดใช้ 72 ล้านล้านดอลล่าห์ ซึ่งเยอะเกินความเป็นไปได้มากๆครับ Forbes เขียนบทความถึงเคสนี้ไว้ว่า มูลล่าความเสียหายดังกล่าวมากกว่ามูลล่าของทุกสิ่งที่ผลิตได้ทั้งปี ของมนุษย์ทุกคนบนโลกรวมกันเสียอีก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยครับ ดังนั้นการเทียบ 1:1 คือความผิดพลาดเชิงตรรกะอย่างร้ายแรง
อย่างที่ผมได้กล่าวไปหลายครั้งว่าคนส่วนใหญ่จะเสพสื่อผ่านช่องทางที่ผิดกฎหมาย ก็ต่อเมื่อเขาเข้าถึงมันหรือจ่ายมันไม่ได้ ในช่องทางแบบถูกกฎหมาย นอกจากนี้มีงานวิจัยในอังกฤษและฝรั่งเศสหลายชิ้น ที่พบว่า คนที่เสพสื่อออนไลน์แบบผิดลิขสิทธิ์มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ซื้อกลุ่มใหญ่ของเนื้อหาแบบถูกลิขสิทธิ์ด้วย
ในสังคมเราปัจจุบันมีเนื้อหาดีๆ คอนเทนต์ดังๆ มากมายที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เราอยู่ คนส่วนใหญ่ซื้อมันแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ไม่หมดหรอกครับ เลยต้องหาวิธีอื่นๆ เช่น ดูผ่านบัญชีออนไลน์สตรีมมิ่งของเพื่อน ซึ่งวิธีดังกล่าวก็สร้างความสูญเสีย/ไม่สร้างรายได้ให้เจ้าของเนื้อหาไม่ต่างกับวิธีละเมิดลิขสิทธิ์เลย แย่กว่าตรงนี้ใช้เซิร์ฟเวอร์ด้วย ดังนั้นวิธีคิดแบบไม่ดำก็ขาว จึงไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีเท่าไหร่ครับ นอกจากนั้นจะยิ่งผลักคนจำนวนมากให้ละเมิดกฎหมายเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี (เข้าถึงได้และจ่ายได้) คนส่วนใหญ่ไม่เลือกทำผิดกัน
แต่ผมไม่ได้หมายความว่าคนเลวบริสุทธิ์ไม่มีเลยนะ บางคนต่อให้มีพร้อมทุกอย่างก็เลือกที่จะละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ดี และไม่มีทางเลยที่จะกำจัดคนแบบนี้ออกจากสังคมได้ แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือลดจำนวนคนแบบนี้ให้เหลือน้อยที่สุดจนไม่มีนัยยะสำคัญต่อยอดการเติบโตทางการตลาด ผ่านการจัดการที่ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างความเหลื่อมล้ำ รายได้ขั้นต่ำ ความยากจน
อ้อ! ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้คือข้ออ้างในการทำผิดนะ แต่การแก้ปัญหาพวกนี้นำไปสู่การลดจำนวนการละเมิดลิขสิทธิ์ได้จริงๆนะครับ ลองดูประเทศที่อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์สูงๆ แล้วดูเงื่อนไขเชิงโครงสร้างอย่างระดับการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ การเมือง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำดูสิครับว่ามันสัมพันธ์กันจริงๆ นะ
ท้ายที่สุดอย่าเข้าใจผมผิดว่ากำลังส่งเสริมหรือสร้างความชอบธรรมให้การละเมิดลิขสิทธิ์นะครับ เพราะยังไงผมก็ยอมรับว่าการละเมิดลิขสิทธิ์มันผิดกฎหมายอยู่ดี แต่ผมพยายามแนะให้เห็นว่าการตัดสินว่า คนที่ละเมิดลิขสิทธิ์ = คนชั่วนั้น ค่อนข้างด่วนตัดสินไปหน่อย หรือการมองว่าการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นความผิดที่ตัวบุคคลแบบดำสนิท มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว
มีเงื่อนไขและปัจจัยหลายอย่างมากที่มาซ้อนทับนอกเหนือไปจากที่เรามองเห็นโต้งๆ อีกอย่างการแก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายแรงๆ เช่น ประหารชีวิต มันเอาไม่อยู่หรอกครับ อย่างที่บอกไปว่าสื่อพวกนี้มันจำเป็นต่อชีวิตทางสังคมมากกว่าแค่ความบรรเทิงส่วนตัว ยังไงคนก็พยายามหาทางเข้าถึงมันอยู่ดี
ดังนั้นวิธีที่พอจะเป็นไปได้มากที่สุด และเกิดประโยชน์กับทุกๆฝ่าย คือ การพยายามแก้ไขปัจจัยเชิงโครงสร้างให้มันดีขึ้น ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ ความเหลื่อมล้ำ และคุณภาพชีวิต เมื่อทุกอย่างดีแล้ว เนื้อหาลิขสิทธิ์เหล่านี้ก็จะเข้าถึงง่ายและจ่ายได้สำหรับคนทุกกลุ่ม เพื่อที่จะได้ลดจำนวนคนละเมิดสิทธิ์ให้เหลือน้อยที่สุด โดยหากใครยังถามต่ออีกว่าขอวิธีแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมหน่อย อย่างแรกเลยนะขอรัฐบาลที่ฉลาดๆ เถอะครับ แฮ่ๆ
อ้อ! ขออีกนิด ในเชิงสังคมวิทยาเราสามารถมองคนที่ละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านี้ผ่านแว่นของแนวคิด deviance ได้ด้วยนะครับ โดย Émile Durkheim (1895) บอกว่าสังคมที่มันจะก้าวหน้าและทำงานได้ดีนั้น มันต้องมี deviance เหล่านี้ประมาณหนึ่งด้วย แต่ต้องไม่มากเกินไปนะ (เพราะถ้ามากจนกลายเป็นคนส่วนใหญ่ก็ไม่เรียก deviance แล้ว) หรือไม่มีเลยก็ไม่ได้ เพราะการจะทำแบบนั้นต้องอาศัยวิธีการปกครองแบบฟาสสิสต์สุดขั้ว และอีกอย่างหลายๆ ครั้ง deviance ก็สร้างผลผลิตให้สังคมด้วยนะ อย่างซอฟแวร์ Open-Source ต่างๆ ก็เริ่มต้นจากคน deviance ที่ไม่ต้องการจ่ายเงินให้ซอฟแวร์ลิขสิทธิ์นะ (ยกตัวอย่างเฉยๆนะ ไม่ได้เทียบกับกรณีข้างบน)
บทความนี้ผมแปลงมาจากบทความ A Sociological Perspective of Online Piracy นะครับ โดยได้ประยุกต์เหตุการณ์กรณีดราม่าซีรีส์เรื่องเพื่อนใหม่ และตัด/เปลี่ยน/เสริมบริบท ที่น่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่ากับนักอ่านที่เป็นคนไทยเข้าไปด้วยครับ หากท่านใดต้องการอ่านเนื้อหาเดิมแบบเพียวๆ สามารถตามไปอ่านกันได้เลยนะครับ